Avareum Market Outlook 2024: Layer-2 Scaling Solution

Avareum Market Outlook 2024: Layer-2 Scaling Solution

Layer 2 Scaling Solution Overview

ข้อมูลจาก DefiLlama ในส่วนของเงินที่ถูกล็อคบน DeFi จะเห็นว่า 1 ใน 10 อันดับของ Chain ทั้งหมดจะมีส่วนของ Ethereum Scaling Solution ติดอันดับต้น ๆ

จากข้อมูลของ DeFiLlama ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2023 แสดงให้เห็นว่าใน Top 10 Total Value Locked หรือ 10 อันดับแรกมี Blockchain ที่เป็น Ethereum Scaling Solution มากถึง 4 Chain ได้แก่ Arbitrum, Optimism, Polygon, และ Base

  • อันดับ 4 : Arbitrum เป็น Optimistic Rollup Technology
  • อันดับ 6: Optimism ใช้ Optimistic Rollup Technology
  • อันดับ 7: Polygon เป็น Layer 2 ที่เป็น Side-Chain Technology
  • อันดับ 9: Base เป็น Optimistic Rollup โดยใช้ OP Stack ในการสร้าง Chain

ซึ่งทั้ง 4 Chain ที่เป็น Scaling Solution ก็ยังได้มีการพัฒนาต่อยอดในแบบของตัวเองดังนี้

Arbitrum

ที่มีแยกออกไปทำ Arbitrum Nova เพื่อ Support Metaverse และ GameFi ในอนาคต มี Arbitrum Orbit ที่จะเป็น Tech Stack เพื่อใช้เป็น Base Layer ให้คนสามารถที่จะมาสร้าง Blockchain ของตัวเองบน Arbitrum ได้ง่ายขึ้น ในส่วนนี้มองว่าเป็น SDK จะคล้าย ๆ กับ Cosmos SDK

Optimism

ได้มีการพัฒนา OP Tech Stack เพื่อเป็น Public Goods เพื่อให้คนที่ต้องการสร้าง Layer 2 เป็นของตัวเองสามารถทำได้ง่าย อย่างกรณีของ Coinbase ที่มีการสร้าง Layer 2 ของตัวเองที่มีชื่อว่า “Base” และทาง BNB Chain ที่นำ Tech Stack ของทาง Optimism ไปสร้าง Layer 2 ของตัวเองเช่นกันที่เรียกว่า “opBNB” นอกจากนี้ทาง Optimism ได้มีการ Upgrade ครั้งสำคัญอย่าง “Bed Rock Upgrade” ในวันที่ 6 มิถุนายน 2023 ที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในเรื่องของธุรกรรมการเงินมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงและสามารถ Process ได้รวดเร็วขึ้น

Polygon

มีการพัฒนาต่อยอดในการสร้างเพื่อรองรับ Zk Rollup Tech อย่าง ZkEVM หลังจากนั้นไม่นาน Polygon Team ได้เดินหน้าเปิดตัว Road Map สำหรับ Polygon 2.0 ซึ่งสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือการเปิด Proposal เสนอ Community ในการ Polygon ZkEVM Validium ในส่วนนี้เราจะไปอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อ Zk-Rollup ด้านล่าง

Base

เป็น Blockchain L2 ของทางฝั่ง Coinbase ที่ใช้ OP Stack ของ Optimism ในการสร้างขึ้น โดยทีมของ Coinbase ได้เปิดตัว Base เมื่อต้นปี 2023 และ TVL มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงปลายปี 2023 TVL ของ Base ขึ้นมาอยู่ใน 10 อันดับแรกได้สำเร็จ

What is Bedrock Upgrade

โดยการอัปเกรดในครั้งนี้เป็นการปรับตัวโครงสร้างของ Optimism ให้มีความเป็น Modular Blockchain มากขึ้น ทำให้ส่วนต่าง ๆ  สามารถมาเชื่อมโยงกับโครงสร้างส่วนนี้ได้ง่าย ในส่วนของการ Calldata ก็สามารถที่จะปรับต้นทุนตรงนี้ลงมาให้ถูกลง (Cost-Effective) ซึ่งจะลดลงจากเดิมประมาณ 40% และมีความเร็วเพิ่มขึ้น ส่วนต่าง ๆ เตรียมไว้เพื่อรองรับ Decentralized Sequencer ในอนาคต 

โดยจุดมุ่งหมายของการอัปเกรดครั้งนี้ พยายามที่จะทำให้ Bed Rock เข้าไปสู่ Ethereum Equivalent คือสามารถที่จะใช้ Code Base ชุดเดียวกับทาง Ethereum Layer 1 ได้เลยโดยที่ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก จะแตกต่างจากทาง EVM Compatible พอสมควรที่ยังจะต้องมีการปรับ Code อยู่บ้าง เวลาจะมา Deploy Smart Contract บน Layer 2 ซึ่งการที่เป็น Ethereum Equivalence ก็จะมีความง่ายกับทาง Developer เองในการพัฒนา Protocol บน Layer 2 และง่ายกับ Users ที่มาใช้งานด้วยเช่นกัน นอกจากการที่จะเตรียมพร้อมที่จะใช้ Decentralized Sequencer ในอนาคตแล้ว ตรงนี้ยังเป็นพื้นฐานของการอัปเกรดในส่วนถัดไปเช่นกัน อย่าง Cannon Upgrad [1] ที่จะมาช่วยเพิ่มในเรื่องของความปลอดภัย (Security) บน Optimism ในอนาคต

ในปี 2023 เป็นปีที่มีคนพูดถึง Layer 2 Scaling Solution ของทางฝั่ง Zk Rollup ที่เป็น Technology ที่ทาง Vitalik ผู้ก่อตั้ง Ethereum พูดว่าในระยะยาวตัวที่สามารถช่วยขยายปริมาณธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน Ethereum โดยที่มีความสมดุลที่สุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วในการทำธุรกรรม ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งาน และจะเป็นผู้ชนะใน Area นี้จะเป็น Chain ที่ใช้ Zk Rollup Technology ซึ่งก่อนที่เราจะไปดูในหัวข้อของ Zk Rollup ว่ามี Layer 2 ตัวไหนเกิดใหม่โดยใช้ Technology นี้บ้าง เรามาเปรียบกันว่าตัว Zk Rollup นั้นมีความแตกต่างจาก Optimistic Rollup ในส่วนไหนบ้าง

โดยจะมีหัวข้อดังนี้ที่เราจะมาทำความเข้าใจระหว่าง Optimistic Rollup และ Zk Rollup

  • Rollup คืออะไร?
  • Optimistic Rollup ทำงานยังไง?
  • Zk Rollup ทำงานยังไง?
  • ข้อดีและข้อเสียระหว่าง Optimistic Rollup และ Zk Rollup
  • เปรียบเทียบระหว่าง Optimistic Rollup และ Zk Rollup
  • Application ของ Optimistic และ Zk Rollup

What is Rollup ?

Rollup เป็นวิธีการแก้ปัญหาด้าน Scaling ของ Ethereum โดยที่การทำธุรกรรมต่าง ๆ ของ Ethereum จะถูกย้ายออกไปทำบน Layer 2 หรือเราจะเรียกว่าเป็นการทำธุรกรรมบน Off-Chain โดยธุรกรรมจะถูกม้วนรวมกัน (Rollup) แล้วทำการจัดเป็นกลุ่ม ๆ (Batch Transactions) เพื่อส่งธุรกรรมทั้งหมดไปตรวจสอบและบันทึกลงบน Ethereum Mainnet (Layer 1) ทำให้การทำ Rollup นั้นไม่สูญเสียความปลอดภัยและความเป็น Decentralized ของตัว Network

โดยประโยชน์ของการทำ Rollup นั้นจะมาช่วยในเรื่อง “Network Congestion” มีธุรกรรมที่แออัดที่จะต้องรอบันทึกลงบน Ethereum Blockchain เป็นจำนวนมากจนเกิดคอขวด คนที่ทำธุรกรรมที่อยากจะให้ธุรกรรมของตัวเองได้รับการยืนยันก่อน ก็จะมีการเพิ่มปริมาณค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม ที่เราเรียกว่า “Gas Fee” ทำให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเฉลี่ยมีค่าสูงขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างต้นทุนในการทำกิจกรรมบน Ethereum เป็นอย่างมาก ตัว Layer 2 อย่าง Rollup จะเข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่ถูกลงและความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น ในขณะที่นักพัฒนา (Developer) ที่สร้าง Smart Contract เพื่อรัน Protocol ต่าง ๆ อย่าง Dapps สามารถที่จะใช้ Code ชุดเดียวกันจาก Ethereum Mainnet เพื่อมาสร้าง Protocol บน Layer 2 โดยมีการปรับเปลี่ยนน้อยมาก ทำให้สร้างความสะดวกให้กับนักพัฒนาหันมาพัฒนา Dapps บน Layer 2 มากขึ้น

ตัว Rollup Technology ที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ จะมีความแตกต่างในเรื่องกระบวนการการตรวจสอบธุรกรรม โดยหลัก ๆ ในตลาดจะมีด้วยกัน 2 แบบ

  • Optimistic Rollup
  • Zk Rollup

ซึ่งเราจะไปทำความเข้าใจ Rollup แต่ละแบบในหัวข้อถัดไป

Optimistic Rollup How it works ?

Optimistic Rollup ตามคำขึ้นต้น “Optimistic” คือการมองโลกในแง่ดี โดยที่ Rollup ประเภทนี้จะมองว่าทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน Layer 2 นั้นมีความถูกต้องโดยตัวมันอยู่แล้ว นอกเสียจากจะมีการร้องข้อจากคนที่ตรวจสอบธุรกรรมให้มีการตรวจสอบธุรกรรมนั้น ๆ เพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง

โดยองค์ประกอบหลัก ๆ ของตัว Optimistic Rollup จะประกอบไปด้วย ตัว Smart Contract , Sequencers (ตัวจัดเรียงธุรกรรมที่ใช้ในการทำ Rollup) และ Validators (คนที่ตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่เกิดขึ้นของระบบ) ตัว Smart Contract จะเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมต่อระหว่าง Ethereum Mainnet และ Layer 2 เวลามีการเรียกข้อมูลจาก Sequencer (Calldata) ขั้นตอนการทำงานของ Optimistic Rollup จะเริ่มจากกิจกรรมใดๆ ที่เกิดขึ้นบน Layer 2 จะสร้างธุรกรรมขึ้นมา หลังจากนั้นธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะถูกจัดการบน Layer 2 หรือเราเรียกว่า Off-Chain โดยคนที่จัดการตรงนี้ ณ ปัจจุบันจะยังเป็น Centralized Entity คือทีมผู้สร้าง Rollup นั้น ๆ จะเข้ามารวมธุรกรรมตรงนี้เป็นกลุ่ม ๆ คนที่ทำหน้าที่ตรงนี้เราจะเรียกว่า Sequencer โดยหลังนั้น Sequencer ก็จะทำหน้าที่ส่งธุรกรรมที่มัดรวมกันดังกล่าวไปบันทึกลงบน Ethereum Mainnet โดยที่ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบว่ามีความถูกต้องหรือไม่ ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ว่าระบบมองทุกธุรกรรมมีความถูกต้อง “Optimistic” ยังไงก็ตามทุกธุรกรรมก็ยังต้องผ่าน Validator ในการตรวจสอบกิจกรรมต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นกับ Sequencer แม้จะไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องก็ตาม แต่ถ้าทาง Validator มองว่าธุรกรรมใดมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างความเสียหายกับระบบ เนื่องจากอาจจะมีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ทาง Validator ก็สามารถที่จะยื่นเรื่องเพื่อทำการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวได้เช่นกัน (Fraud Proof) ซึ่งถ้าสุดท้ายแล้วธุรกรรมดังกล่าวมีความผิดจริง ก็จะมีการลงโทษกับคนที่ทำหน้าที่เป็น Sequencer

The Advantages and Disadvantages of Optimistic Rollup

ข้อดีหลักของทาง Optimistic Rollup คือ ความเร็วในการทำธุรกรรม หลังจากผ่านการ Execution บน Off-Chain เสร็จสิ้น ตรงนี้แทบจะไม่มีระยะเวลาที่หน่วงเกิดขึ้นในการทำธุรกรรม เพราะไม่มีขึ้นตอนในการตรวจสอบเกิดขึ้น ข้อมูลจะถูกบันทึกลงไปบน Ethereum Mainnet ทันที นอกเสียจาก Validator ยื่นเรื่องเพื่อทำการตรวจสอบธุรกรรมนั้น ๆ

ส่วนข้อเสียของ Optimistic Rollup เนื่องจากไม่มีกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น ทำให้เวลาที่เราโอนสินทรัพย์ดิจิทัลจาก Layer 2 กลับไปยัง Layer 1 จะมีระยะเวลาในการถอนสินทรัพย์ดิจิทัลออกจาก Layer 2 ซึ่งอย่างแย่ที่สุดผู้ใช้งานอาจจะต้องรอถึง 1 สัปดาห์กว่าขึ้นตอนในการถอนจะเสร็จสิ้น

Zk Rollup How it works ?

Zk Rollup เป็น Rollup Technology ที่ใช้กระบวนการ Cryptography ที่เรียกว่า “Zero-Knowledge Proof” ที่จะใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) ในการตรวจสอบธุรกรรมว่ามีความถูกต้องโดยที่ไม่จับเป็นต้องมีการเปิดเผยข้อมูลในธุรกรรมนั้น ๆ ซึ่งการทำธุรกรรมอย่างการรวมธุรกรรมเป็นกลุ่ม ๆ ผ่าน Sequencer ก็จะทำ Off-Chain แบบ Optimistic Rollup เช่นกัน แต่จะมีความแตกต่างกันในเรื่องการตรวจสอบธุรกรรมก่อนมีการบันทึกลงไปบน Ethereum Mainnet เพราะทาง Zk Rollup เองจะทำการตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้น แตกต่างจาก Optimistic Rollup ที่จะไม่มีการตรวจสอบตรงนี้ ถ้าไม่มีการร้องขอจาก Validator

The Advantages and Disadvantages of Zk Rollup

ข้อดีโดยพื้นฐานก็จะคล้ายกับทาง Optimistic Rollup คือสามารถทำธุรกรรมได้ปริมาณเยอะและมีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่ถูกเมื่อเปรียบเทียบกับการทำธุรกรรมบน Ethereum Mainnet แต่ในส่วนที่ดูจะเป็นข้อดีเหนือ Optimistic Rollup คือระยะเวลาในการถอนสินทรัพย์ดิจิทัลออกจาก Layer 2 ไปยัง Layer 1 ตรงนี้จะไม่มีระยะเวลาหน่วงในการถอน เพื่อทำการตรวจสอบธุรกรรม เพราะตัว Zk Rollup จะทำการตรวจสอบทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน Off-Chain ก่อนทำการบันทึกลงบน Ethereum Mainnet ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดนี้ก็กลายมาเป็นข้อเสียของ Zk Rollup เนื่องจากต้องใช้พลังงานในการประมวลผลเพื่อตรวจสอบธุรกรรมผ่านโมเดลทางคณิตศาสตร์ ทำให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมตรงนี้จะสูงกว่าทางฝั่ง Optimistic Rollup และใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบที่นานกว่าก่อนการบันทึกลงบน Ethereum Mainnet เพราะต้องทำการตรวจสอบทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้น

Comparison between Optimistic Rollup and Zk Rollup

รูปภาพที่ 1: Comparison between Optimistic Rollup and Zk Rollup

Optimistic vs ZK-rollups: Scalability and Costs

หนึ่งในเป้าหมายของการทำ Rollup คือการเพิ่มปริมาณการทำธุรกรรมของบน Ethereum Mainnet และลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม (Gas Fee) ของผู้ใช้งาน โดยทั้ง Optimistic และ Zk Rollup นั้นสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวด้วยการทำ Batch Transactions หรือ Rollup ธุรกรรม Off-Chain แล้วทำการบันทึกข้อมูลลงบน Ethereum Mainnet แต่อย่างไรก็ตามทั้ง 2 วิธีการก็ยังมีข้อแตกต่างกันในบางประเด็นในเรื่องของการขยายปริมาณการทำธุรกรรมและต้นทุนในการทำธุรกรรม

ในแง่ของความเร็วในการทำธุรกรรมทาง Optimistic Rollup สามารถที่จะทำธุรกรรมต่อวินาที (Transactions Per Second, TPS) ได้มากกว่าทาง Zk Rollup แต่ในทางตรงกันข้ามตัว Optimistic Rollup ใช้ค่าธรรมเนียมในการที่จะบันทึกข้อมูลลงบน Main Chain สูงกว่าทาง Zk Rollup ส่วนในฝั่งของ Zk Rollup เองเนื่องจากใช้พลังงานในการประมวลผลเพื่อใช้งานการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมผ่านโมเดลทางคณิตศาสตร์ ตรงนี้ทำให้เกิดต้นทุนในเรื่องการประมวลผลธุรกรรมที่สูงกว่าทาง Optimistic Rollup

เรื่องการพัฒนาของ Software และการใช้งานของผู้ใช้งานตัว Optimistic Rollup นั้น นักพัฒนาสามารถจะใช้ Code ชุดเดียวกันในการพัฒนา Smart Contract ได้เลย โดยที่มีการปรับเปลี่ยน Code Base น้อยมาก และส่วน User ก็สามารถที่จะใช้งานตัว DApps ได้เหมือนกับทาง Ethereum Mainnet ในด้าน User Experience เป็นข้อได้เปรียบตรงนี้ เปรียบเทียบกับ Zk Rollup ที่ยังไม่เป็น Version ใหม่อย่าง ZkEVM ที่พยายามพัฒนาให้ตัว Software ต่าง ๆ  สามารถใช้งานได้กับ Ethereum Mainnet

Optimistic vs ZK-rollups: Security

ปัจจัยในเรื่องความปลอดภัย ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีการเปรียบเทียบของทั้ง 2 Rollup ในด้านของวิธีการในการดูแลเงินที่ฝากไว้บน Chain ของผู้ใช้งานและการป้องกันข้อมูลของผู้ใช้งาน ค่อนข้างมีความแตกต่างกันระหว่าง Optimistic Rollup และ Zk Rollup

ในฝั่งของ Optimistic Rollup มีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยของในส่วน Sequencers หรือ Validators (Censorship Attack) ที่ค่อนข้างจะเป็น Centralized เนื่องจากตัวคนสร้าง Chain เป็นคนทำในส่วนนี้เอง ซึ่งถ้าคนสร้าง Chain มีความไม่ซื่อสัตย์ก็จะสามารถที่จะชะลอหรือป้องกันไม่ให้มีการบันทึกข้อมูลลงบน Main Chain นอกจากนี้ความเสี่ยงอีกอย่างของ Optimistic Rollup ก็คือ กระบวนการขั้นตอนในการบันทึกยังต้องพึ่งพาผู้ใช้งานและผู้ตรวจสอบความถูกต้อง (Validators) ในการที่จะยื่นเรื่องทำการตรวจสอบธุรกรรม (Fraud Proof) ถ้าคิดว่าธุรกรรมที่เกิดขึ้นมีความไม่ถูกต้อง และถ้าหากไม่มีใครยื่นเรื่องในการตรวจสอบและปล่อยผ่านธุรกรรมที่ผิดให้บันทึกลงบน Main Chain จุดนี้ก็จะสร้างความเสียหายให้กับเงินของผู้ใช้งาน

ส่วน Zk-Rollup นั้นค่อนข้างที่จะมีภูมิต้านทานในเรื่องของ “Censorship Attack” เนื่องจากไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ใช้งานหรือผู้ตรวจสอบยื่นเรื่องขอตรวจสอบธุรกรรมที่คิดว่ามีความผิดปกติกับทาง Chain แต่จะใช้ Zero-Knowledge Proof ในการตรวจสอบธุรกรรมผ่านโมเดลทางคณิตศาสตร์ ก่อนที่จะมีการบันทึกข้อมูลดังกล่าวลงบน Main Chain ความเสี่ยงของวิธีการนี้คือตัวแปรบางอย่างของ Zero-Knowledge Proof หลุดลอดออกไป (Leak) จนทำให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีสามารถที่จะเอาตัวแปรดังกล่าวมาสร้าง “Fake Proof” เพื่อโกงระบบและขโมยเงินของผู้ใช้งานในระบบ

Optimistic vs ZK-rollups: Privacy

ในหัวข้อนี้ค่อนข้างชัดเจนในเรื่องของ “Privacy” ซึ่งทาง Optimistic Rollup จะมีความเป็น Privacy ที่น้อยกว่าเนื่องจากจะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นในการที่จะลงนามธุรกรรมในแต่ละครั้ง (Signature) ว่าธุรกรรมเหล่านั้นได้รับการอนุมัติจากผู้ใช้งานทั้งทางฝั่ง Side Chain และ Main Chain คนที่ทำการตรวจสอบสามารถที่จะเข้าไปดูข้อมูลและเชื่อมโยง Wallet Address ของผู้ใช้งานที่ทำธุรกรรมนั้นๆ ได้ ในทางตรงข้ามตัว Zk Rollup จะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในแต่ละธุรกรรมที่เกิดขึ้นให้กับทาง Side Chain และ Main Chain ได้รู้ ซึ่งคนที่รับส่งข้อมูลในธุรกรรมนั้น ๆ เท่านั้นถึงจะรู้ว่าผู้ส่งและผู้รับคือ Wallet Address ไหน

Optimistic vs ZK-rollups: Validity Proof

การตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม อย่างที่กล่าวมาข้างต้นที่ค่อนข้างมีความแตกต่างกัน เนื่องจากทางฝั่งของ Optimistic Rollup นั้นจะใช้ Fraud Proof ในการตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้น โดยจะอนุมานว่าทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน Chain นั้นมีความถูกต้อง โดยที่ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบใด จนกว่าจะมีคนแย่งขึ้นมาโดยการยื่นเรื่องขอพิสูจน์ในธุรกรรมนั้น ๆ แต่ส่วน Zk Rollup จะใช้ Zero-Knowledge Proof ในการตรวจสอบทุกธุรกรรม ซึ่งทั้งสองวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน [2] ในด้านของการขยายปริมาณการทำธุรกรรม (Scalability) และเรื่องของความปลอดภัย (Security) ซึ่งจะขึ้นกับ Decentralized Applications (Dapps) ต้องการ Scalability หรือ Security มากน้อยแค่ไหน

หลังจากเราทำความเข้าใจข้อแตกต่างระหว่าง Optimistic Rollup กับ Zk Rollup แล้ว ในช่วงปี 2022 จนมาถึงต้นปีต้นปี 2023 นั้นตัว Optimistic Rollup ค่อนข้างเป็นกระแสพอสมควรไม่ว่าจะเป็น Optimism และ Arbitrum โดยเฉพาะ Arbitrum ในช่วงเดือนมีนาคม 2023 ที่มีการประกาศเรื่องการแจก “Airdrop” ทำให้มีเงินไหลเข้าไปทำ Activity บน Protocol ต่าง ๆ  บน Arbitrum จนทำให้ปริมาณของผู้ใช้งานรายวัน (Daily Active Users, DAU) และจำนวนธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนระบบเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยมี DAU อยู่ที่ประมาณ 611,000 บัญชี และปริมาณธุรกรรมต่อวันอยู่ที่ 2,900,000 ธุรกรรม

และหลังช่วงเดือนมีนาคมปริมาณของผู้รายวันและปริมาณการทำธุรกรรมเริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่าง Ecosystem ในฝั่งของ Zk Rollup โดยฝั่งนี้จะประกอบไปด้วย

  • ZkEVM Polygon
  • Scroll
  • Starknet
  • ZkSync
  • Linea

จากข้อมูล On-Chain Data นั้นเราจะเปรียบเทียบในหัวข้อ ปริมาณผู้ใช้งานรายวัน, ปริมาณธุรกรรมที่เกิดขึ้นต่อวัน และสุดท้ายตัวเงินที่ถูกล็อคในระบบ เพื่อที่จะดูว่าคนให้ความสนใจกับ Chain ไหนมากที่สุด

จากภาพด้านบนเราจะเห็นว่าในช่วงเดือนมีนาคม หลังจาก zkSync เปิดหัว zkSync Era ทำให้ยอด TVL มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้ในวันที่ 20 เมษายน 2023 มี TVL ที่ $119M และหลังจากนั้นก็มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนในช่วงปลายปี 2023 ในวันที่ 30 ธันวาคม ยอด TVL อยู่ที่ $159M ซึ่งถือว่าขึ้นมารั้งอันดับ 5 เนื่องจากในช่วงเดือน กรกฎาคม Coinbase ได้มีการเปิดตัว Base Chain ที่ใช้ OP Stack ของฝั่ง Optimism มาใช้สำหรับสร้าง Chain เป็นของตัวเอง ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าว Fund Flow ของเงินได้มีการไหลเข้า Base มากขึ้นจนทำให้วันที่ 3 กันยายน 2023 มี TVL ที่ $389M และปิดสิ้นปีที่อันดับ 4 ยอด TVL ขึ้นไปสูงถึง $440M เป็นรองแค่ Arbitrum, Optimism, Polygon

zkSync Era

Matter Labs ผู้ก่อตั้ง zkSync ได้ระดมทุนไปได้มากกว่า $250M จากการระดมทุนทั้งหมด 4 รอบ ผ่าน Venture Capital เจ้าดังๆ อย่าง Binance, OKX, A16Z, และ Consensys ซึ่ง Matter Labs ใช้เวลาในการพัฒนา zkSync เป็นระยะเวลา 4 ปี โดย Timeline ในการพัฒนามีดังนี้

Read more

Avareum Market Outlook 2024: Ethereum Analysis

Avareum Market Outlook 2024: Ethereum Analysis

Ethereum Price Trading Volume สำหรับ ETH ที่ในช่วงต้นปีการเปลี่ยนแปลงของราคาปิดไตรมาส 1 อยู่ที่ $1,440 ทำให้ผลตอบแทนของราคาในไตรมาสที่ 1 ปิดบวกอยู่ที่ 20.35% และในช่วงเดือนมีนาคมมีข่าว Silicon Valley Bank มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องเนื่องจาก ประชาชนแห่กันไปถอนเงินสดออกจากธนาคาร โดยที่ตัว Silicon

lock-1 By Avareum Research
Avareum Market Outlook 2024: Bitcoin Analysis

Avareum Market Outlook 2024: Bitcoin Analysis

Bitcoin Price vs Trading Volume ในช่วงต้นปี 2023 ราคาของ Bitcoin ก็ค่อยๆ ปรับตัวขึ้นเรื่อยจากจุด Bottom ที่ $16,000 ซึ่งในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2023 นั้นมีปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ $50B - $70B ก่อนที่ปริมาณการเทรดจะลดลงไปอีกครั้งหลังช่วงกลางเดือนมี

lock-1 By Avareum Research
Japan's Government Pension Investment Fund (GPIF) Explores Bitcoin Investment Amidst Aging Population Crisis

Japan's Government Pension Investment Fund (GPIF) Explores Bitcoin Investment Amidst Aging Population Crisis

ข่าวเรื่อง GPIF หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญของญี่ปุ่น ศึกษาการลงทุน Bitcoin เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งเกี่ยวโยงไปกับประเด็นปัญหาเศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นคือ วิกฤติประชากรสูงวัย (aging population crisis) เรื่องของ aging society นั้นถูกพูดถึงกันมานานแล้ว อ้

By Avareum Research
The 1 Baht = 4.16 Yen Milestone: A Turning Point for the Japanese Yen

The 1 Baht = 4.16 Yen Milestone: A Turning Point for the Japanese Yen

1 บาท = 4.16 เยน จุดเปลี่ยนสำคัญ ของ “เงินเยน” ถามอีก กับ พี่รัน คุณนิรันดร์ ประวิทย์ธนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้งเอวา แอดไวเซอรี่ (AVA Advisory) Disclaimer: Avareum Research is an independent crypto research firm committed to providing

By Avareum Research